- YESKEY 홈페이지
- YESKEY, 인증서, 바이오인증, OTP, 마이인포(금융분산ID), My 인증
วันนี้ ผมจะมาแนะนำวิธีการใช้ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ แทนการใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) ที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีและตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อน คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนมาใช้แล้วหรือยัง?
ใบรับรองที่ใช้ยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมออนไลน์นั้น มีหลากหลายประเภทมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) ที่ใช้งานยากแล้ว ยังมีใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificate) ที่เปลี่ยนชื่อมาจากใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และปัจจุบันก็มีการใช้ฟังก์ชั่นการยืนยันตัวตนของ KakaoTalk หรือ Naver Certificate เพิ่มขึ้นอีก ทำให้เกิดความสับสน แต่ล่าสุดทางสถาบันการชำระเงินทางการเงิน (Financial Settlement Institute) ก็ได้เปิดตัวใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ขึ้นมาด้วย
พอดีช่วงนี้ ผมกำลังจะถึงกำหนดต่ออายุใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) และได้รับอีเมลแจ้งเตือนให้ชำระเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificate) ใช้งานทั่วไปส่วนบุคคลนั้น ณ เดือนกันยายน 2565 ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ 4,400 วอน จริงๆ แล้วผมก็ยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) และใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) เลยปล่อยผ่านไป แต่พอเห็นว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่สร้างขึ้นมา ก็รู้สึกอุ่นใจ และด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ผมตัดสินใจขอรับใบรับรองนี้เป็นครั้งแรก หลังจากลองใช้งานแล้วพบว่า สะดวกในการยืนยันตัวตนโดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆ และมีความเร็วสูง จึงคิดว่าควรเผยแพร่ข้อมูลให้คนอื่นๆ ทราบ จึงได้เขียนโพสต์นี้ขึ้นมาครับ!
เว็บไซต์ทางการของใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) https://www.yeskey.or.kr/
หน้าจอใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ที่เปิดจากแอปพลิเคชันบนมือถือ (ภาพจากเว็บไซต์ทางการ)
เมื่อดูจากเว็บไซต์ทางการแล้ว พบว่าสามารถขอรับใบรับรองและบันทึกไว้บนคลาวด์ได้ภายใน 3 นาที / ยืนยันตัวตนได้อย่างง่ายดายด้วยรหัส 6 หลักภายใน 3 วินาที / และสามารถใช้ใบรับรองได้อย่างสบายใจนาน 3 ปี ด้วยการขอรับเพียงครั้งเดียว ขั้นตอนการขอรับใบรับรองนั้นเหมือนกับใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) คือ สามารถขอรับได้จากธนาคารที่ใช้งานบ่อย แต่ต้องมีการลงทะเบียนใช้งานอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งกับธนาคารนั้นๆ ด้วยนะครับ แม้ว่าชื่อเมนูของแต่ละธนาคารจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถเข้าไปที่เมนู ศูนย์รับรอง (บุคคล) > ขอรับ/ต่ออายุใบรับรอง ในเว็บไซต์ของธนาคารได้เลยครับ และอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่า ใบรับรองที่ขอรับนั้นคือ ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ด้วยนะครับ
สถานที่ที่สามารถใช้ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ได้มีดังนี้ (โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ทางการ เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) ควรตรวจสอบด้วยว่า ผู้ให้บริการที่ใช้บ่อยๆ ยังคงอนุญาตให้ใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Public Key Certificate) อยู่หรือไม่) ทั้งกรมสรรพากร (Hometax) และสำนักงานประกันสังคม (National Pension Service) ก็ให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับบริษัทประกันภัยชื่อดังต่างๆ ดังนั้นสำหรับบุคคลทั่วไปที่ใช้ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) สำหรับธนาคาร/บัตรเครดิต/ประกันภัยเท่านั้น การเปลี่ยนมาใช้ใบรับรองทางการเงิน (Financial Certificate) น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ หากบทความนี้มีประโยชน์ โปรดกดโฆษณาให้ด้วยนะครับ ผมจะนำเสนอข่าวสารที่มีประโยชน์และน่าสนใจมาฝากทุกท่านอีกในโอกาสต่อไป ขอบคุณครับ!
ความคิดเห็น0